วันพุธที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ทฤษฎีผีเสื้อขยับปีก

ทฤษฎีผีเสื้อขยับปีก (The Butterfly Effect)


clip_image002.jpg
ก่อนที่จะพูดถึง Butterfly effect ก็คงต้องมีการเอ่ยถึงทฤษฎีหนึ่ง คือ Chaos Theory (เคอ็อส) ที่กำลังเป็นกระแสใหม่ในศตวรรษที่ 21 ซึ่ง เป็นแนวความคิดที่พัฒนาจากขบวนการสังเกตของนักวิทยาศาสตร์ ศาสตราจารย์ทางคณิตศาสตร์ประยุกต์ที่ชื่อ เอียน โพซิเบิล ของมหาวิทยาลัยลอนดอน ได้เขียนหนังสือชื่อ Chaos a science for the real world ( a science : ความรู้ , for the real world : ในโลกแห่งความเป็นจริง ) โดยอธิบายไว้ว่า ทฤษฎีแห่งความไร้ระเบียบหรือ chaos theory (เขาใช้คำว่าไร้ระเบียบ ในปัจจุบันนี้สังคมไทยใช้คำว่า สับสนอลหม่าน, หรือนักวิชาการบางท่านก็ไปเขียนไว้ว่าเป็นทฤษฎีความโกลาหล ) เปรียบกับแม่น้ำสายใหญ่เกิดจากสายน้ำหลายสายไหลมาบรรจบกัน

ฉะนั้น แหล่งที่มาของทฤษฎีไร้ระเบียบมาจากทุกสาขาวิชา ในสภาพ Chaos, สภาพสับสนอลหม่าน, สภาพไร้ระเบียบ คือไร้เสถียรภาพ (unstable) มี ความอ่อนไหวสูงยิ่ง หรือมีความเปราะบาง เมื่อมีการกระทบเพียงเล็กน้อยก็ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่เป็นเส้น ตรง แต่เป็นทางที่คดเคี้ยว กวัดแกว่ง และบางครั้งก้าวกระโดด เกิดตรงจุดนั้นบ้าง จุดนี้บ้าง… ทำให้ยากที่จะทำนาย ผลลัพธ์ได้ เพราะมีสิ่งอื่น ๆ ที่มาเป็นองค์ประกอบหลาย ๆ ประการ ที่ส่งผลต่อระบบใหญ่ ซึ่งแนวความคิดอันนี้ก็ไปกระทบกับแนวความคิดดั้งเดิม ที่คิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างต้องแน่นอน (1+1=2) ทำให้ทฤษฎีนี้เป็นทฤษฎีกระแสใหม่ ซึ่งในตอนหนึ่งของการอธิบายทฤษฎีไร้ระเบียบได้พูดถึงผลกระทบของ Butterfly Effect ซึ่งศาสตราจารย์ เอ็ดเวิร์ด เลอลอง นักวิทยาศาสตร์คนแรกที่ได้รับเครดิตในเรื่องทฤษฎีเคอ็อส จากผลการทดลองตั้งแต่ปี พ.ศ.2506 และในปี พ.ศ.2515 เขาได้พูดในสมาคม Advancement of Science ของอเมริกา ที่ Washington, D.C โดย ใช้หัวข้อว่า การกระพือปีกของผีเสื้อในประเทศบราซิลก่อให้เกิดพายุทอนาโดในรัฐเท็กซัสได้ หรือไม่ นับตั้งแต่นั้นมาคำว่า ปรากฏการณ์ผีเสื้อ (Butterfly Effect) ก็เริ่มแพร่หลายและนำไปใช้อย่างกว้างขวาง ดังนั้นคำว่า ปรากฏการณ์ผีเสื้อ ( Butterfly Effect ) จึงมี 2 ความหมายใหญ่ๆ คือ
1. สำหรับนักวิชาการ จะหมายถึงสมการคำนวณทางคณิตศาสตร์ ของศาสตราจารย์ เอ็ดเวิร์ด เลอลอง ที่แสดงผลเป็นกราฟรูปผีเสื้อ (ที่มา : wikipedia.com)  The butterfly effect in the Lorenz attractor time


clip_image004.gif

2. สำหรับ บุคคลทั่วไป เป็นการสื่อความหมายว่า เรื่องเล็กๆ เช่นการที่ผีเสื้อกระพือปีกสามารถก่อให้ เกิดเรื่องใหญ่ๆที่ไม่คาดคิดในระยะทางไกลๆได้ (เข้าทำนอง “เด็ดดอกไม้กระเทือนถึงดวงดาว”) เขา อธิบายไว้ว่า ในด้านทฤษฎีอุตุนิยมวิทยา ผีเสื้อตัวหนึ่งกระพือปีกที่ฮ่องกง สามารถที่จะทำให้ดินฟ้า อากาศที่แคลิฟอร์เนียเปลี่ยนแปลงได้เมื่อ 1 เดือนให้หลัง นี่คือกระบวนการที่เรียกว่า Butterfly Effect (หนังสือที่ศาสตราจารย์เลอลองเขียนได้พูดถึงศาสตราจารย์เลอลองเคยได้รับเชิญให้นำเสนอ Lecture ทางวิชาการ 3 ชุด ที่ University of Washington (Seattle) ภายใต้การสนับสนุนของคหบดีที่อุดหนุนด้านการศึกษามนุษยชาติ (Jessy Dance) ในการนำเสนอศาสตราจารย์ซึ่งเป็นนักอุตุนิยมวิทยามากว่า 30 ปี ได้เฝ้าวิจัยแนวความคิดด้านอุตุนิยมวิทยา ท่านบอกว่าท่านค้นพบโดยบังเอิญ จากกระบวนการที่ท่านนั่งเฝ้าตัวเลขที่ค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนไปเป็น .0000001 ของ ทศนิยม ท่านนั่งเฝ้าเข็มรายงานความเคลื่อนไหวของอากาศ ทุกครั้งที่เกิดการสั่งสะเทือนของระบบการรับข่าวสารเกี่ยวกับสภาวะอากาศ และเฝ้าสังเกตดูจุดทศนิยมที่เปลี่ยนแปลงไปแต่ละจุด ๆ เมื่อเกิดความคลาดเคลื่อนไปแล้วจะทำให้เกิดรูปร่างที่เสมือนกับโครงสร้างของ ผีเสื้อ ท่านพบว่า .0000001 ที่คลาดเคลื่อนไปก่อให้ เกิดความเปลี่ยนแปลงได้อย่างมหาศาล การเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาลในภาวะแวดล้อมของอุตุนิยมวิทยาไม่ใช่เกิดขึ้นจาก สาเหตุใหญ่ ๆ หากแต่เกิดขึ้นจากสัญญาณเล็ก ๆ เป็นจุด ๆ ท่านจึงอธิบายว่าถ้ามันเป็นเช่นนี้จริงก็หมายความว่า แม้กระทั่งผีเสื้อตัวเล็ก ๆ กระพือปีกเบา ๆ อยู่ที่ซึกโลกหนึ่งก็ส่งผลต่อระบบนิเวศวิทยาของอีกซีกโลกหนึ่งก็อาจจะเป็น ได้ ภาพ Butterfly Effect ทำให้เกิดกระแสความแตกตื่นขึ้นในกลุ่ม IT และกลุ่มนักวิทยาศาสตร์โลก ก็มีการพูดถึงเรื่องนี้ ท่านอธิบายว่า Chaos จะเกิดผลกระทบต่อโลกอย่างไร? จะเกิด Global Effect อย่างไรต่อไป ? ตัวอย่าง เช่นปรากฏการณ์เอลนินโญ่ เกิดจากการที่กระแสน้ำอุ่นเปลี่ยนทิศทาง จากที่เคยไหลเรียบฝั่งแอฟริกาอยู่ดี ๆก็ข้ามฝากมาอเมริกาใต้สู่มหาสมุทรแปซิฟิก ผลส่วนหนึ่งคือทำให้เกิดไฟไหม้ป่าที่เกาะสุมาตรา จากป่าที่เป็นเคยสมบูรณ์ที่สุดในแถบเอเชีย ซึ่งการที่กระแสน้ำอุ่นเปลี่ยนทิศทางนั้นเป็นผลมาจากการสะสมความเปลี่ยนแปลง ทีละเล็ก ละน้อย แต่ความเป็นจริงมีสัญญาณเตือนภัยที่ส่อเค้ามาก่อนแล้ว เช่น หิมะละลาย แผ่นดินถล่ม แต่ก็ไม่มีคนสนใจ การเกิดโรคซาร์ในประเทศจีน ทำให้เกิดการล้มตายอย่างเฉียบพลัน การเกิดไข้หวัดนกที่อาจมีสัญญานบอกเหตุเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และการก้าวข้ามสายพันธ์ของไวรัสที่อาจจะไม่ใช่เป็นไปตามลำดับขั้นตามทฤษฎี ที่เคยเป็น แต่อาจมีการข้าม กระโดด เปลี่ยนแปลงอย่างชนิดตามไม่ทันก็ได้ ซึ่งปรากฎการณ์แบบ Butterfly effect แค่หิมะจากแอ นตาร์กติกลอยออกมาเป็นก้อน ๆ ปลารูปร่างหน้าตาประหลาดมาเกยตื้นที่หากสะหมิหรา ก็สามารถก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาลต่อโลกมนุษย์แล้ว การก่อให้เกิดภาวะ Chaos หรือความซับซ้อนของตัวเอง ในสิ่งนั้น ทำให้เกิดความคลาดเคลื่อนได้ เมื่อมีปัจจัยที่ซับซ้อนเข้ามากระทบกระเทือนต่อความซับซ้อน ในระบบที่ซับซ้อนของตนเอง เพราะฉะนั้น เมื่อเกิดความคลาดเคลื่อนแม้แต่ .0000001% ความ คลาดเคลื่อนนี้เมื่อมันก่อตัวขึ้นมาแล้ว จะเกิดความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญมาก เมื่อเกิดภาวะที่เป็นไปอย่างไร้ระเบียบ ก็จะเกิดพลวัตรในระดับการโต้ตอบ, สะท้อนกลับขึ้นมา เป็นภาวะที่แตกแยก, เริ่มแยกออกไปอย่างไร้ทิศทาง จะมีสองมุมประกอบกัน มุมหนึ่งคือ มุมของการโต้ตอบ เรียกว่า Feedback กับอีกมุมหนึ่งคือการเกิดซ้ำหรือ reiteration ซึ่ง อาจมีผลกระทบทางลบหรือบวกก็ได้ อาจก่อให้เกิดสภาพเร่งเร้า ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ซึ่งความเร่งเร้าที่เกิดขึ้นนั้นอยู่ในระดับที่สามารถจะควบคุมได้ และสภาวะแห่งความไร้ระเบียบนี้ ไม่ใช่เป็นความอลหม่าน จะซุกซ่อนความเป็นระบบอยู่ในความไร้ระเบียบของตัวมันเอง และส่งผลกระทบถึงกัน ซึ่งระบบที่แสดงความไร้ระเบียบจะมีลักษณะ คือ (สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์, 2549)

1. มีคุณสมบัติแบบไม่เป็นเชิงเส้น (nonlinearly) คือผลลัพธ์ทั้งหมดของระบบ ไม่เท่ากับ ผลรวมของผลลัพธ์ที่เกิดจากส่วนย่อย ๆ รวมกัน

2. ไม่ใช่การเกิดแบบสุ่ม เหตุการณ์ทั้งหลายจึงเกิดขึ้นภายใต้กฎเกณฑ์อันแน่นอน
3. มีความไวต่อสภาวะเริ่มต้น (sensitive dependency on initial conditions) ที่เรียกว่าปรากฎการณ์แบบ butterfly effect : ซึ่งในบางครั้งการขยายความแตกต่างให้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจจะขยายไปถึง เลขยกกำลัง 3 (exponential) ของเวลา

4. ไม่ สามารถทำนายเหตุการณ์ที่จะเกิดล่วงหน้าได้ระยะยาว เพราะเราไม่รู้ว่าจะมีเหตุ(ปัจจัย)ใดที่กระทบ ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เปรียบดังมีผีเสื้อหลายตัว “ไม่รู้ว่าตัวไหนจะกระพือปีก”

แล้วคุณล่ะ………รู้ไหมว่าในองค์การ……..มีผีเสื้ออยู่ตรงไหน และตัวไหนกระพือปีก ไม่กระพือปีก …. ซึ่ง เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ยังไม่ติดหูกันมากนัก หากสมาชิกมีข้อมูลก็มาร่วมแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกันคงทำให้ผู้เขียน เข้าใจอะไร ๆ ในเรื่องนี้ได้กระจ่างยิ่งขึ้น

 

 

 

 

อ่านเพิ่มได้ที่
ชัยวัฒน์ ถีระพันธ์. 2537. ทฤษฎีความไร้ระเบียบ ทางแพร่งของสังคมสยาม. กรุงเทพฯ :
สำนักพิมพ์ภูมิปัญญา.
ยุค ศรีอาริยะ. 2537. โลกาภิวัตน์ 2000 ว่าด้วยประวัติศาสตร์ทางเวลาทางสังคมศาสตร์ ในโลกาภิวัตน์ 2000. กรุงเทพฯ : บริษัทไอโอนิค อินเตอร์เทรด รีซอสเซส.
สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์. 2549. ที่มา

http://www.info.tdri.or.th/reports/unpublished/chaos-theory.pdf

 

 

ที่มาของบทความนี้: http://www.itie.org/eqi/modules.php?name=Forums&file=viewtopic&t=1312

ทฤษฎีความอลวน

ทฤษฎีความอลวน

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ทฤษฎีความอลวน[1] (อังกฤษChaos theory) เป็นทฤษฎีที่อธิบายถึงลักษณะพฤติกรรมของระบบพลวัต (คือ ระบบที่มีการเปลี่ยนแปลง เช่น เปลี่ยนแปลงตามเวลาที่เปลี่ยนไป) โดยลักษณะการเปลี่ยนแปลงของระบบที่เรียกว่าเคออสนี้ จะมีลักษณะที่ปั่นป่วนจนดูคล้ายว่า การเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นแบบสุ่มหรือไร้ระเบียบ (random/stochastic) แต่จริง ๆ แล้ว ระบบเคออสนี้เป็นระบบแบบไม่สุ่ม หรือระบบที่มีระเบียบ (deterministic)
ในทางคณิตศาสตร์และฟิสิกส์ คำจำกัดความของระบบเคออส คือ ระบบไม่เชิงเส้น (nonlinear system) ประเภทหนึ่ง ที่มีความไวต่อสภาวะเริ่มต้น กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ถ้าระบบ 2 ระบบนั้นเริ่มต้นจากสภาวะที่แตกต่างกันเพียงเล็กน้อย คือเกือบจะเหมือนกันทุกประการ เมื่อระบบได้มีการเปลี่ยนไปสักระยะหนึ่ง สภาวะของระบบทั้งสองที่เราสังเกตได้เมื่อเวลาผ่านไปจะแตกต่างกันอย่างสังเกตเห็นได้ชัด
เรามักจะได้ยินคำพูดที่นิยมพูดกันอย่างกว้างขวางที่ว่า "เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว" หรือ "ผีเสื้อขยับปีกทำให้เกิดพายุ" (จาก "butterfly effect") ซึ่งมีคนจำนวนไม่น้อยที่ตีความคำพูดนี้ในลักษณะของขนาดความรุนแรงของผลลัพธ์เท่านั้น ระบบเคออสนั้นไม่จำเป็นจะต้องแตกต่างกันในแง่ของ ขนาด ของผลลัพธ์เสมอไป แต่อาจแตกต่างกันในแง่ของ พฤติกรรม การเปลี่ยนแปลงก็ได้ จากตัวอย่างข้างต้น การเปลี่ยนแปลงของระบบทั้งสองนั้นจะมีลักษณะที่คล้ายคลึงกันมากในขณะเริ่มต้น เมื่อเวลาผ่านไป การเปลี่ยนแปลงนั้นแทบจะเรียกได้ว่าไม่มีอะไรที่เหมือนกันเลย

ประวัติ[แก้]

จุดเริ่มต้นของทฤษฎีความอลวนนี้ สามารถสืบย้อนกลับไปได้ถึงในช่วงปี พ.ศ. 2443 (ค.ศ. 1900) จากการศึกษาปัญหาวงโคจรของวัตถุสามชิ้นในสนามแรงดึงดูดระหว่างกัน ซึ่งมีชื่อเรียกเป็นทางการว่า ปัญหาสามวัตถุ โดย อองรี ปวงกาเร ซึ่งได้ค้นพบว่า วงโคจรที่ศึกษานั้นอาจจะมีลักษณะที่ไม่ได้เป็นวงรอบ (periodic) คือไม่ได้มีทางวิ่งซ้ำเป็นวงรอบ ยิ่งไปกว่านั้น วงโคจรนั้นก็ไม่ได้ขยายวงออกไปเรื่อย ๆ หรือมีลักษณะที่ลู่เข้าหาจุดใด ๆ ต่อมาได้มีการศึกษาถึงปัญหาสมการเชิงอนุพันธ์ไม่เป็นเชิงเส้นที่เกี่ยวข้อง โดยที่ เบอร์คอฟ (G.D. Birkhoff) นั้นศึกษาปัญหาสามวัตถุ คอลโมโกรอฟ ศึกษาปัญหาความปั่นป่วน (หรือ เทอร์บิวเลนซ์) และปัญหาเกี่ยวกับดาราศาสตร์. ส่วน คาร์ทไรท์ (M.L. Cartwright) และ ลิตเติลวูด (J.E. Littlewood) นั้นศึกษาปัญหาทางวิศวกรรมการสื่อสารด้วยคลื่นวิทยุ. สเมล (Stephen Smale) นั้นอาจเป็นนักคณิตศาสตร์คนแรก ที่ทำการศึกษาถึงปัญหาทางด้านพลศาสตร์ของระบบไม่เป็นเชิงเส้น. ถึงแม้ว่าความอลวนของเส้นทางโคจรของดาว นั้นยังไม่ได้มีการทำการสังเกตบันทึกแต่อย่างใด แต่ก็ได้มีการสังเกตพบ พฤติกรรมความอลวนในความปั่นป่วนของการเคลื่อนที่ของของไหล และ ในการออสซิลเลท แบบไม่เป็นวงรอบของวงจรวิทยุ ซึ่งไม่มีทฤษฎีใดในขณะนั้นสามารถอธิบายพฤติกรรมเหล่านี้ได้
ความตื่นตัวในการพัฒนาทฤษฎีความอลวนนี้ เกิดขึ้นในช่วงกลางของศตวรรษที่ 20 เมื่อเป็นที่ประจักษ์ว่า ทฤษฎีของระบบเชิงเส้นนั้นไม่สามารถใช้อธิบายพฤติกรรมบางอย่าง แม้กระทั่งพฤติกรรมของระบบที่ไม่ซับซ้อนอย่าง แมพลอจิสติก (Logistic map) อีกปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลให้พัฒนาการของทฤษฎีความอลวนเป็นไปอย่างรวดเร็วก็คือ คอมพิวเตอร์ การคำนวณในทฤษฎีความอลวนนั้น โดยส่วนใหญ่จะมีลักษณะที่เป็นการคำนวณค่าแบบซ้ำ ๆ จากสูตรคณิตศาสตร์ และสามารถใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในการคำนวณได้อย่างมีประสิทธิภาพ
รูปวงโคจรของตัวดึงดูดลอเรนซ์
เอ็ดเวิร์ด ลอเรนซ์ (Edward Lorenz) เป็นผู้ริเริ่มบุกเบิกทฤษฎีความอลวน เขาได้สังเกตพฤติกรรมความอลวน ในขณะทำการทดลองทางด้านการพยากรณ์อากาศ ในปี ค.ศ. 1961 ลอเรนซ์ใช้คอมพิวเตอร์ซิมูเลชันแบบจำลองสภาพอากาศ ซึ่งในการคำนวณครั้งถัดมาเขาไม่ต้องการเริ่มซิมูเลชันจากจุดเริ่มต้นใหม่ เพื่อประหยัดเวลาในการคำนวณ เขาจึงใช้ข้อมูลในการคำนวณก่อนหน้านี้เพื่อเป็นค่าเริ่มต้น ปรากฏว่าค่าที่คำนวณได้มีความแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง เขาพบว่าสาเหตุเกิดจากการปัดเศษ ของค่าที่พิมพ์ออกมา จากค่าที่ใช้ในคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีค่าน้อยมาก แต่สามารถนำไปสู่ความแตกต่างอย่างมากมาย เรียกว่า ไวต่อสภาวะเริ่มต้น
คำ "butterfly effect" ซึ่งเป็นคำที่นิยมใช้เมื่อกล่าวถึงทฤษฎีความอลวน นั้นมีที่มาไม่ชัดเจน เริ่มปรากฏแพร่หลายหลังจากการบรรยายของ ลอเรนซ์ ในปี ค.ศ. 1972 ภายใต้ชื่อหัวข้อ "Does the Flap of a Butterfly's Wings in Brazil Set Off a Tornado in Texas?" นอกจากนี้แล้วยังอาจมีส่วนมาจาก รูปแนวโคจรของตัวดึงดูดลอเรนซ์[2] (ดังรูปด้านขวามือ) ที่มีรูปร่างคล้ายผีเสื้อ ซึ่งเขาได้ตีพิมพ์ในบทความวิชาการก่อนหน้านี้
ส่วนคำ "chaos" (เค-ออส) บัญญัติขึ้นโดย นักคณิตศาสตร์ประยุกต์ เจมส์ เอ ยอร์ค (James A. Yorke)

อ้างอิง[แก้]

  • บัญชา ธนบุญสมบัติ. กฎพิสดาร ปรากฏการณ์พิศวง. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ : สารคดี, 2551. หน้า 63–77. ISBN 978-974-484-155-1

ดูเพิ่ม[แก้]

แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]

เกล็ดปีก

เกล็ดปีก  
ปีกของผีเสื้อเป็นเยื่อบางๆที่ประกบกัน มีเส้นปีกเป็นโครงร่างให้คงรูปอยู่ได้ ผีเสื้อส่วนใหญ่จะมีเส้นปีกในคู่หน้า 12 เส้น ในปีกคู่หลัง 9 เส้น การจัดเรียงกันของเส้นปีกในผีเสื้อแต่ละชนิดแต่ละวงศ์จะแตกต่างกันไป ซึ่งเป็นอีกลักษณะหนึ่งในการจำแนกชนิดและวงศ์ของผีเสื้อ
ลวดลายบนแผ่นปีกของผีเสื้อเกิดขึ้นจากเกล็ดชิ้นเล็กๆที่เรียงซ้อนกันแบบกระเบื้องมุงหลังคา ปกคลุมอยู่ทั่วทั้งแผ่นปีก ในหนึ่งตารางนิ้วจะมีเกล็ดเรียงซ้อนกันตั้งแต่ 500 ถึง 125,000 ชิ้นสีและลวดลายที่เราเห็นนั้นเกิดจากเกล็ดสีเดียวกันเรียงซ้อนกันอยู่เป็นกลุ่ม
เกล็ดปีกจะหลุดได้ง่ายเมื่อสัมผัสกับวัตถุอื่น รวมทั้งขณะบินหรือเมื่อผีเสื้อมีอายุมากขึ้นด้วย เมื่อเกล็ดหลุดออกไปแล้วจะไม่สามารถสร้างขึ้นใหม่ได้ ทำให้ประสิทธิภาพการบินลดลง รวมถึงอาจมีปัญหาในการสื่อสารระหว่างเพศด้วย และในขณะที่ผีเสื้ออาบแดดเกล็ดปีกก็จะทำหน้าที่ทั้งดูดซับและสะท้อนแสง
เกล็ดของผีเสื้อมี 2 แบบ คือ
1.เกล็ดที่มีเม็ดสีภายใน
2.เกล็ดที่ไม่มีเม็ดสีภายใน


 
1. เกล็ดที่มีเม็ดสีภายใน
 
เกล็ดที่มีเม็ดสี (pigment) ก่อให้เกิดสีต่างๆ เม็ดสีภายในเกล็ดนี้เกิดได้จากทั้งสารเคมีที่ผีเสื้อสร้างขึ้นเอง และสารเคมีที่แปรรูปจากอาหารที่ตัวหนอนกินเข้าไป
สารที่ทำให้เกิดเม็ดสีต่างๆ ในเกล็ดคือ
1. เทอรีน ( pterine ) เป็นสารที่แปรรูปมาจากกรดยูริก ในวงศ์ผีเสื้อหนอนกะหล่ำมีสีเหลืองในวงศ์ผีเสื้อขาหน้าพู่มีสีส้มและสีแดง สีแดงเมื่อสัมผัสกับออกซิเจนในอากาศจะซีดลงเรื่อยๆ
2. ฟลาโวน ( flavone ) เป็นสารที่ผีเสื้อสร้างขึ้นเองไม่ได้ ต้องรับมาจากพืชที่กินเข้าไปในระยะตัวหนอน ทำให้มีสีขาวจนถึงสีเหลือง พบในวงศ์ผีเสื้อสีตาลและวงศ์ผีเสื้อบินเร็วบางชนิด 
3. เมลานิน ( melanin ) มีสีดำซึ่งสามารถสร้างขึ้นได้เอง เป็นเม็ดสีแบบเดียวกับในคนและสัตว์ทั่วไป 
ส่วนสีเขียวและสีม่วงฟ้าเกิดจากเกล็ดที่ไม่มีสี เมื่อแสงส่องผ่านเยื่อบางๆหลายชั้นของแผ่นปีกจะสะท้อนออกเป็นสีดังกล่าว
 
2.เกล็ดที่ไม่มีเม็ดสีภายใน
เกล็ดที่ไม่มีเม็ดสีภายใน แต่ที่เห็นเป็นสีได้นั้นเกิดจากการสะท้อนแสงของเกล็ดที่มีรูปร่างเป็นสันนูนขึ้นมาคล้ายแท่งผลึกหรือเกล็ดที่เป็นเยื่อบางๆ ซ้อนกันอยู่ทำให้เห็นเป็นสีเขียว สีขาว สีม่วงอมฟ้า สีแวววาวคล้ายโลหะ เกล็ดที่มีอากาศอยู่ภายในจะสะท้อนให้เห็นเป็นสีขาว เราจะมองเห็นเกล็ดเหล่านี้เป็นสีต่างๆในบางมุมเท่านั้น และจะเห็นได้ชัดขึ้นในขณะที่ผีเสื้อขยับปีกเคลื่อนไหว
การผลิตสีบนปีก
กลไกพื้นฐาน 2 ประการ ในการผลิตสีบนปีกของผีเสื้อก็คือ สิ่งที่เราเรียกว่าสีธรรมดาบนปีกและ สีที่เกิดขึ้นก็ต่อเมื่อมีแสงมาตกกระทบ สีธรรมดาเกิดเนื่องจากสีย้อมที่อยู่บนปีกจะดูดซับคลื่นแสงบางส่วนและส่งออกมาหรือสะท้อนออกมา แต่ละสีย่อมจะให้สีต่างกัน สีที่เปลี่ยนแปลงเมื่อมีแสงมาตกกระทบไม่ได้เกิดจากการให้สี แต่เกิดจากการสอดแทรกของแสง เนื่องจากมีการสะท้อนที่ไม่เท่ากันในแต่ละวัตถุ ด้วยเหตุนี้บางครั้งอาจอ้างได้ว่าเป็นโครงสร้างสี ซึ่งโครงสร้างสีและสารสี ในบางครั้งสามารถปรากฏบนวัตถุเดียวกันและเปลี่ยนเป็นสีอื่น 
การเปลี่ยนแปลงของเกล็ดปีกเมื่อมีแสงมาตกกระทบ
การเกิดขึ้นและการแจกแจงการเปลี่ยนแปลงของสี เมื่อมีแสงมาตกกระทบและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการปรากฏในโลกของธรรมชาตินี้ เป็นสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ศึกษากันมาเป็นเวลาช้านาน แม้แต่ท่านเซอร์ ไอแซค นิวตัน ในหนังสือ “ Opticks “ อาจนิยามได้ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงสีต่างๆของวัตถุ เมื่อผู้มองเปลี่ยนตำแหน่งของการมอง ตัวอย่างเช่น เมื่อมีแสงตกกระทบลงบนพื้นผิวของน้ำมันหรือน้ำ ถ้าพื้นผิวของน้ำมันถูกมองในมุมที่ต่างกัน สีก็จะเปลี่ยนไป นอกจากนี้ความแวววาวระยิระยับของสีที่เปลี่ยนไปไม่ว่าจะเนื่องจากการเปลี่ยนมุมของแสงหรือการเปลี่ยนตำแหน่งของผู้มอง แสงระยิบระยับที่ปรากฏจะสวยงามและน่าอัศจรรย์อย่างมาก
ทฤษฎีสำหรับการเปลี่ยนแปลงสีัเมื่อมีแสงมาตกกระทบ : การสอดแทรกในแผ่นฟิล์มบางๆ
 
สำหรับการตั้งทฤษฎีการเปลี่ยนแปลงของสีเมื่อมีแสงมาตกกระทบ ถูกอธิบายอย่างละเอียดโดย โธมัส ยัง นักฟิกส์สิกข์ชาวอังกฤษ ตามคำนิยามของโธมัส ยัง การเปลี่ยนแปลงของสีเมื่อแสงมาตกกระทบ เช่น น้ำมันบนผิวน้ำหรือสีบนผิวของฟองสบู่ อธิบายได้ว่า แผ่นบางๆหรือฟิล์มสะท้อนคลื่นแสงเดียว บางคลื่นจากพื้นผิวด้านบนมีลักษณะเหมือนกระจก แสงที่ไม่สามารถสะท้อนได้จะเข้าไปในฟิล์มและเดินทางลงไปสู่พื้นผิวด้านล่าง ซึ่งบางส่วนก็สะท้อนได้ คลื่นแสงที่สะท้อนจากพื้นผิวด้านล่างเดินทางทางเดียวกับแสงที่สะท้อนจากด้านบน และจะมารวมกันในที่สุด อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการแสงเดินทางภายในแผ่นฟิล์มน้ำมันจะสะท้อนจากด้านล่าง มันอาจออกนอกระบบ เนื่องจากคลื่นแสงสะท้อนจากด้านบน ขอบเขตของระยะขึ้นอยู่กับดัชนีความหนาและดัชนีการหักเหของฟิล์ม มุมที่แสงตกกระทบบนพื้นผิวของฟิล์มและความยาวของคลื่นแสง ถ้าขอบเขตของคลื่นสะท้อนแตกต่างกันครึ่งหนึ่งของคลื่นแสงหรือครึ่งของครึ่งของของคลื่นแสง คลื่นแสงที่สะท้อนจะเรียกได้ว่าออกนอกระยะหรือขอบเขตอย่างสิ้นเชิงและการแทรกแซงที่เป็นอันตราย จะเกิดขึ้น ณ คลื่นช่วงนั้น เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นจากการสะท้อนของแสงที่อ่อนแรงหรือขาดไป ณ จุดนั้น ถ้าการหักเหของแสงขาวที่สมบูรณ์มีผลให้แสงขาวเกิดขึ้น ดัชนีความหนาของฟิล์มและดัชนีการหักเหที่ให้มา มีสีเดียวที่มีความยาวคลื่นแสงที่ถูกต้อง ที่จะทำให้การสอดแทรก
น่าพอใจ หรืออีกนัยหนึ่ง เมื่อแสงขาวส่องตรงแผ่นฟิล์มบางเพียงสีเดียวจะสะท้อนได้อย่างแข็งแรงหรือขาดไป ณ มุมเฉพาะมุมหนึ่ง ถ้าในทางกลับกัน มันคือแสงสีเดียวที่เกิดขึ้น ดังนั้นรูปแบบของการสอดแทรกจะประกอบด้วยลำดับของแสงสว่างและความเข้ม การสอดแทรกที่สร้างสรรค์และทำลายจะแข็งแรงที่สุด และสีที่จะสะท้อนจะบริสุทธิ์ที่สุดถ้าคลื่นแสงสะท้อนจากแต่ละพื้นผิว มีแอมพลิจูดเดียวกันนี้ขึ้นอยู่กับว่าดัชนีการหักเหหลายๆดัชนีในกรณีนี้อากาศและแผ่นฟิล์ม และในมุมของการที่ลำแสงกระทบผิวหน้าของแสงบนพื้นผิว
โครงสร้างของเกล็ดที่เปลี่ยนสีเมื่อมีลำแสงมาตกกระทบ

โลกพลันเปลี่ยน... เพียงผีเสื้อขยับปีก

โลกพลันเปลี่ยน... เพียงผีเสื้อขยับปีก

    แสดงฝีมือไว้ทั้งในแวดวงบันเทิง เป็นเจ้าของรายการทีวี i SCI (ไอซายน์) รายการสารคดีวิทยาศาสตร์ 5 นาที กระตุ้นต่อมคิดเด็กไทยให้เข้าถึงวิทยาศาสตร์เรื่องใกล้ตัว และแสดงฝีมือเป็นที่ประจักษ์ในแวดวงวิชาการกับการเป็นหนึ่งในทีมบริหารผู้คิดค้น "นาโนเทคโนโลยี"แห่ง สวทช. และในวันนี้ ดร.นิค-ธีระชัย พรสินศิริรักษ์ ขอสวมบทบาทใหม่ในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายแผนและบริหารงานวิจัย สถาบันวิจัยและเทคโนโลยี บริษัท ปตท. ดำเนินงานวิจัยและพัฒนาด้านพลังงานนวัตกรรมใหม่ สนองทั้งนโยบายรัฐ ทั้งก่อเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน
    พลาสติกที่ทำจากปิโตรเลียมย่อยสลายยากนับร้อยๆ ปีกำลังเอาต์ เป็นของใช้ที่ต้องปฏิเสธโลกใบใหม่กำลังอินกับยุค "ไบโอพลาสติก"ผลิตภัณฑ์พระเอกขี่ม้าขาวผลิตจากพืชผลเกษตรย่อยสลายได้โดยจุลินทรีย์ธรรมชาติ จึงเป็นคำตอบใหม่ๆ ของการลดโลกร้อน ภาคภูมิใจนำเสนอโดยองค์กรต้นตอซึ่งเป็นที่มาที่ไปของพลาสติกปิโตรเลียมตัวการร้ายเพิ่มอุณหภูมิโลกที่เราใช้กันอย่างชาชินทุกวันนี้
    "แก้วกาแฟอะเมซอนในปั๊ม ปตท. ก็ใช้แก้วไบโอพลาสติกทุกร้านแล้วนะครับ แก้วชนิดนี้ย่อยสลายได้ภายใน 30 วันครับ เทรนด์ไบโอพลาสติกจะเป็นจริงในชีวิตประจำวัน เมื่อมีการผลิตป้อนตลาดมากขึ้น เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่ของใหม่ครับ เมื่อทศวรรษก่อนมีการคิดค้น นาโนเทคช่วยลดอุณหภูมิโลกหลากหลายช่องทาง เช่น นาโนลดน้ำหนักรถยนต์ช่วยให้ประหยัดน้ำมัน ไบโอนาโนเทคโนโลยีชีวภาพช่วยสิ่งแวดล้อม ปรับสภาพดิน น้ำ" ดร.ธีระชัยบอกพร้อมรอยยิ้มปลื้ม และเล่าถึงอีกหลายงานวิจัยของสถาบันวิจัยและเทคโนโลยี บริษัทปตท. เช่น โปรเจกต์งานวิจัยใช้สาหร่ายที่สังเคราะห์แสง หรือกินคาร์บอนไดออกไซด์และ เปลี่ยนก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นน้ำมันเชื้อเพลิง การพัฒนาวิทยาศาสตร์จึงเดินคู่เคียงไปกับการลดอุณหภูมิโลกอย่างกระตือรือร้น
    เตรียมพร้อมก่อนโลกเปลี่ยน
    คำถามเริ่มต้นสนทนา "เชื่อไหมว่าโลกสีน้ำเงินใบนี้อุณหภูมิสูงขึ้น?" ดร.ธีระชัย ตอบคำถามนี้ในสไตล์นักวิทยาศาสตร์ไทย โดยบอกว่ามนุษย์เราสัมผัสได้ด้วยบรรยากาศอุณหภูมิโลกที่แปรเปลี่ยนไป ไม่รวมถึงอุบัติภัยรุนแรงในรอบ 20-30 ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าพายุลมหมุน สึนามิ หรือน้ำท่วม ดาหน้ามาให้มนุษย์โลกเผชิญชะตารู้จักกันทุกรูปแบบ "ผมคิดว่าเหตุการณ์ที่เกิดอยู่ในทุกวันนี้ มาจากผลของการกระทำในอดีต ซึ่งแต่ก่อนเราอาจจะไม่ได้สังเกตกันนะครับ แต่ตั้งแต่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมเป็นต้นมามีการใช้ถ่านหิน ใช้น้ำมัน เพื่อขับเคลื่อนเครื่องจักรโรงงานมากขึ้น แล้วเมื่อมนุษย์มีวิวัฒนาการ เช่น ดาวเทียม กูเกิลเอิร์ธ การเปลี่ยนไปของโลกใบนี้ก็ยิ่งเห็นได้ชัดเจน ขั้วโลกที่เคยปกคลุมด้วยภูเขาน้ำแข็งเริ่มหดหายไป อุณหภูมิน้ำทะเลเพิ่มขึ้นควบคู่กัน มนุษย์เริ่มตระหนักถึงภัยที่ค่อยๆ คืบคลานเข้ามานี้ และมนุษย์ก็ไม่สามารถเปลี่ยนโลกให้กลับไปเหมือนใบเก่าได้ในระยะ 4-5 ปีนี้ ซึ่งเราอาจจะใช้เวลาถึง30-40 ปี กับการค่อยๆ ทำให้โลกเย็นขึ้นๆ ในรุ่นลูกรุ่นหลาน" ดร.ธีระชัย แสดงความเห็น

    "Butterfly Effect บัตเตอร์ฟลายเอฟเฟกต์เมื่อผีเสื้อขยับปีก" นำมาเสนอให้รู้จักปรากฏการณ์ ห่วงโซ่สัมพันธ์ ผีเสื้อเพียงตัวเดียวกระพือปีก จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ซับซ้อนของส่วนที่เล็กละเอียด ต่อเนื่องขยายวงกว้างจนไม่มีที่สิ้นสุด อะไรที่ควรจะเกิด หรือปรากฏขึ้นตามธรรมชาติ เมื่อถูกบิดเบือน สิ่งต่างๆ จะผิดเพี้ยนจากที่ควรจะเป็น และแทนที่จะเกิดในระดับหนึ่ง กับคนหนึ่งสถานที่หนึ่ง ก็อาจจะเกิดขึ้นกับคนอื่น สถานที่อื่น โดยที่ไม่มีใครรู้ว่า ความรุนแรงจะเป็นระดับใด การบิดเบือนนี้เมื่อมาถึงจุดหนึ่ง ความซับซ้อนของปัญหาก็อาจเข้าสู่จุดวิกฤตจนยากจะเยียวยา
    "การกระพือปีกของผีเสื้อในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม เริ่มเห็นชัดเจนขึ้นในยุคของเราแล้วนะครับ คนยุคนี้จึงเริ่มตื่นตัวกันใหญ่แล้วครับว่าจะใช้อะไรก็เน้นเทรนด์กรีน เช่นผลิตภัณฑ์เม็ดพลาสติกเอบีเอสล่าสุดของ ปตท.ใช้ยางพาราผสมเพิ่มเข้าไปด้วย ผมว่าการทำทุกๆ ทาง ทำเล็กๆ น้อยๆ ที่สำคัญปลูกฝังให้กับเด็กรุ่นใหม่ ผมทำรายการทีวี i SCI ก็เน้นเรื่องนี้ด้วย ถือว่าเป็นการต่อยอดวันหนึ่งก็จะถึงยอดพีระมิด ผมมองในแบบวิทย์คิดบวกด้วยนะครับ การกระพือปีกเล็กๆของคนยุคนี้ผลลัพธ์ก็เหมือนเหรียญ 2 ด้านนะครับ มีลบและบวก ถ้าเรากระทำในแง่บวกบัตเตอร์ฟลายเอฟเฟกต์ก็จะส่งผลบวกรุ่นสู่รุ่น"ดร.ธีระชัย กล่าวกระพือปีกกันเพื่อโลก
    สมัยไปเรียนหนังสือที่สหรัฐอเมริกาตั้งแต่อายุ 18 ปี ดร.ธีระชัย ไปศึกษาต่อที่รัฐแมสซาชูเซตส์ แต่เบื่อหน่ายสภาพความหนาวเย็นและแปรปรวนของอากาศ จึงเลือกไปเรียนที่ "แคลเทค" (Caltech หรือ California Institute of Technology หรือ CIT) อยู่ทางฝั่งตะวันตกของมลรัฐแคลิฟอร์เนีย ที่มีอากาศดีและอบอุ่นกว่า และใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นนานถึง 15 ปี ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของคนสองเมืองแตกต่างกันด้วยอุณหภูมิเมืองหนาว เมืองอุ่น แต่สิ่งที่มีเหมือนกันคือ การใช้ชีวิตอย่างมีจิตสำนึกรักษ์โลก "คนแคลิฟอร์เนียชอบชีวิตเอาต์ดอร์ ขณะคนแมสซาชูเซตส์จะชอบเก็บตัวอยู่แต่ในบ้านแต่ถ้าเป็นเรื่องสิ่งแวดล้อมคนอเมริกันรักและชอบอยู่กับธรรมชาติ เมืองใหญ่มีการรณรงค์คาร์พูลและทำกันเป็นเรื่องเป็นราวนะครับ วันนี้ขับไปกับบ้านนี้ ผลัดกันวันรุ่งขึ้นไปกับรถยนต์อีกบ้าน หรือการทำเลนถนนจักรยานก็มีให้เห็นในทุกๆ เมืองใหญ่ ผมอยากเห็นนโยบายเหล่านี้ในกรุงเทพฯ หรือเรื่องสกายวอล์กระหว่างตึกใหญ่ๆ ในฮ่องกง ก็น่าประทับใจมากนะครับ มีเรื่องเล่าขำๆ ครับ วันหนึ่งผมมีประชุมที่โรงแรมโซฟิเทลลาดพร้าว พอถึงเวลาเพื่อนก็ชวนขับรถไปกันเถอะ ผมงงมากว่าทำไมเราไม่เดินไป โรงแรมก็อยู่ฝั่งตรงข้ามแค่นี้เอง เดินไปไม่ถึง 10 นาทีจากตึก ปตท. แต่ก็เข้าใจนะครับว่าด้วยชุดสูททางการที่เราใส่ ด้วยอากาศร้อน ด้วยมลภาวะ หลายคนไม่ยอมเดินแต่ผมเลือกการเดินแล้วก็ถึงก่อนคนขับรถเสียอีกด้วย คือคนไทยเราติดความสบายกันจนเคยตัว
    การปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์จึงขึ้นอยู่กับจิตสำนึกนะครับ ผมคิดว่าไม่ใช่คนไทยไม่พยายามนะ แต่บางครั้งก็ต้องยอมรับระบบก็ไม่เอื้อนะครับ เช่น ผังเมืองรกรุงรัง จะเดินจะขี่จักรยานชีวิตอาจไม่ได้ดีขึ้นหรอก แต่ก็ต้องมีการปรับผังเสียตั้งแต่วันนี้นะครับ ค่อยๆ ปรับ ค่อยๆเปลี่ยนไปเรื่อยๆ กระพือปีกวันนี้ส่งผลวันหน้าครับ ห้ามไม่ให้ใช้ทรัพยากรคงเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้ แต่การใช้อย่างมีสติรู้ตัว มีจิตสำนึก โดยตั้งคำถามกับตัวเองทุกๆ ครั้งที่ใช้น้ำใช้ไฟในชีวิตประจำวันว่า ใช้พลังงานอย่างชาญฉลาดหรือยัง? ใช้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่?" ดร.ธีระชัย บอกทิ้งท้ายและมองว่าเป็นเรื่องสำคัญกว่า

    เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว เผาป่าสะเทือนถึงผืนทะเล

    เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว เผาป่าสะเทือนถึงผืนทะเล

    เรื่องราว - พฤษภาคม 22, 2556
    เด็ดดอกไม้เพียงหนึ่งดอกสะเทือนถึงดวงดาว ผีเสื้อร่างน้อยกระพือปีกจากประเทศบราซิลก่อให้เกิดพายุใหญ่ในอีกซีกโลกหนึ่งที่ประเทศสหรัฐอเมริกาในอีกหนึ่งเดือนภายหลัง
    beach debris
    คุณเชื่อเรื่องเช่นนี้หรือไม่ อาจฟังดูเหลือเชื่อ แต่วลีนี้ขยายความถึง “ทฤษฏีไร้ระเบียบ” (Chaos Theory) ซึ่งอธิบายว่าการทำลายธรรมชาติแม้เพียงเล็กน้อยจะส่งผลกระทบอันใหญ่หลวงต่อโลกของเรา
    ธรรมชาติประกอบด้วยระบบนิเวศที่หลากหลายซับซ้อน และก่อตัวขึ้นประสานสอดคล้องเกื้อหนุนกันอย่างเป็นระเบียบ แต่หากมีสิ่งที่เกิดขึ้นจากสภาพไร้ระเบียบ (Chaos) อาทิเช่น การกระทำของมนุษย์ จะเข้าไปทำลายความเป็นธรรมชาติ รบกวนความเชื่อมโยงตามปกติ ทำให้เกิดวิกฤติและไม่ยั่งยืน
    องค์ประกอบต่างๆ ที่สมดุลตามธรรมชาติก่อเกิดรวมกันเป็นระบบนิเวศที่ดำรงอยู่ได้โดยการพึ่งพาอาศัยกันของสรรพชีวิต ทุกสิ่งในโลกไม่ได้แยกขาดจากกัน แต่เชื่อมโยงและส่งผลกระทบถึงกันอยู่เสมอ การกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งของมนุษย์ เช่น การเผาป่า สามารถส่งผลกระทบถึงมหาสมุทรได้อย่างใหญ่หลวง ถึงแม้จะเป็นสองสถานที่ที่ห่างไกลกันอย่างผืนพิภพและผืนทะเล
    ทะเลและมหาสมุทรเป็นระบบนิเวศขนาดใหญ่ที่รองรับทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นบนบก ถือเป็นระบบนิเวศอันกว้างใหญ่ที่สุด ครอบคลุมพื้นที่สามในสี่ส่วนของโลก เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำนานาชนิดนับแสน มีความหลากหลายทางชีวภาพ และมีความสำคัญมากต่อสมดุลโดยรวมของนิเวศทั้งบนบกและในน้ำ นอกจากนี้มหาสมุทรยังช่วยสร้างออกซิเจนมากกว่าครึ่งหนึ่งของปริมาณออกซิเจนทั้งหมด นั่นหมายความว่าหากระบบนิเวศทางทะเลล่มสลายไป สิ่งมีชีวิตบนบกก็ยากที่จะดำรงชีวิตอยู่ได้เช่นกัน
    สิ่งที่เราทำบนพื้นพิภพสะเทือนถึงผืนทะเลได้อย่างไร
    เราคงต่างมีคำถามในใจว่า สิ่งที่เราทำเล็กๆ น้อยๆ อย่างการทิ้งขยะ หรือการเผาหญ้าเผาป่านั้นจะสามารถส่งผลกระทบต่อบริเวณที่อยู่ห่างไกลและกว้างใหญ่อย่างทะเลได้อย่างไร แต่ไม่ว่าจะด้วยความตั้งใจหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ มนุษย์ก็ได้สร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่และกระทบทั่วทั้งโลกอย่างการทำลายระบบนิเวศและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมาแล้ว
    27 พฤษภาคม 2556
    เศษขยะพลาสติกกองอยู่บนชายหาดคาฮูกู ในฮาวาย ภาพจากการเดินทางปกป้องมหาสมุทรของเรือเอสเพอรันซา ในมหาสมุทรแปซิฟิก เพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับพลาสติกและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมทางทะเล
    ระบบนิเวศทางทะเลโดยรอบประกอบด้วยองค์ประกอบต่างๆ ได้แก่ ป่าดิบชื้นไม่ผลัดใบ คลองน้ำเค็ม แนวป่าชายเลนที่เป็นแนวกรองน้ำกร่อยก่อนถึงทะเล แนวหญ้าทะเลเป็นแนวกั้นขั้นสุดท้าย และแนวปะการัง เมื่อมีการเผาป่าขึ้นจะเกิดขี้เถ้า เมื่อฝนตกจะไหลลงสู่ชุมชนตามน้ำ เกิดตะกอนโคลนตามมามากจนป่าชายเลนไม่สามารถกรองได้ ขณะเดียวกันป่าชายเลนก็ถูกบุกรุกด้วยการทำนากุ้ง เมื่อป่าชายเลนเหลือน้อยลง หญ้าทะเลก็น้อยลงตาม เนื่องจากมีน้ำจืดน้อยลง ป่าชายหาดจึงน้อยลงเช่นกัน ตะกอนโคลนที่เกิดจากการเผาป่าจะตกลงสู่แนวปะการัง ขวางกั้นแสงทำให้ปะการังไม่สามารถสังเคราะห์แสงและตายในที่สุด ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องราวต่อจากนั้นคือสัตว์น้ำจะขาดที่อยู่อาศัย ขาดแหล่งอาหาร ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศทางทะเลทั้งหมด
    ในกรณีการทิ้งขยะก็เช่นกัน หากคุณทิ้งขยะไม่เป็นที่ในวันนี้ ขยะจากมือคุณจะไหลลงสู่ชายหาดและลงสู่ท้องทะเล สัปดาห์หน้าหรือเดือนหน้าอาจมีเต่าและสัตว์ทะเลขนาดใหญ่ซึ่งเป็นนักล่าระดับบนสุดของห่วงโซ่อาหารกินขยะเข้าไปโดยเข้าใจผิดว่าเป็นแมงกระพรุน หรือเป็นอาหารของมัน และตายไป ยิ่งมีขยะในทะเลมากเท่าไรยิ่งมีโอกาสที่สัตว์ทะเลจะกินเข้าไปมากเท่านั้น ดังนั้นเมื่อขาดสัตว์นักล่าบนห่วงโซ่อาหารจึงเกิดการแพร่พันธุ์แมงกระพรุนเกินอัตรา ส่งผลให้ปลาที่กินแพลงก์ตอนเป็นอาหารจำเป็นต้องต่อสู้เพื่อกินแพลงก์ตอนที่ลดจำนวนลงเนื่องจากแมงกระพรุนที่กินแพลงก์ตอนเป็นอาหารเช่นกันนั้นเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว เป็นการทำให้โอกาสในการรอดชีวิตของปลาที่กินแพลงก์ตอนเป็นอาหารลดลง นอกจากมนุษย์จะขาดปลาสำหรับบริโภคแล้ว ยังส่งผลให้ปริมาณออกซิเจนที่ผลิตจากแพลงก์ตอนพืชในท้องทะเลลดลง และนั่นก็หมายถึงหายนะครั้งใหญ่หลวงสำหรับโลก
    โลกแห่งท้องทะเลไม่ได้คงอยู่ได้เพียงลำพัง ระบบนิเวศทางทะเลต้องประกอบด้วยส่วนที่เชื่อมโยงกับพื้นพิภพอย่างป่าชายเลน หญ้าทะเล และแนวปะการังเพื่อเป็นถิ่นอนุบาลของสัตว์น้ำ ในการอนุรักษ์ทะเลคือการอนุรักษ์ทุกอย่างบนโลกใบนี้ หากเราเพิกเฉยไม่ใส่ใจต่อการกระทำของเรา ทุกอย่างที่เราทำลงไปสักวันหนึ่งจะส่งผลกระทบอันร้ายแรงสู่มนุษย์เอง ไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง
    ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหนบนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็นจังหวัดที่ติดชายฝั่งทะเล หรือจะอยู่สูงขึ้นไปบนเทือกเขา คุณสามารถเลือกที่จะช่วยรักษาท้องทะเลได้ด้วยการคำนึงถึงผลกระทบอันใหญ่หลวงที่จะเกิดขึ้นจากการทำลายธรรมชาติเพียงเล็กน้อย แต่ในขณะเดียวกันเราก็สามารถสร้างผลกระทบในแง่บวกแก่สิ่งแวดล้อมได้ เพียงแค่ไม่ทำลาย ใช้ทรัพยากรแต่พอเพียง และช่วยกันดูแลรักษา ถึงแม้เราเพียงคนเดียวอาจไม่สามารถเปลี่ยนแปลงทั้งระบบได้ แต่หากเราเริ่มเปลียนแปลงที่ตัวเราแล้ว คุณจะสามารถสร้างแรงผลักดันที่ยิ่งใหญ่ในระบบนิเวศได้เช่นกัน
    ........ผีเสื้อขยับปีกคู่บาง 
    ขอบฟ้าสางเริ่มปรากฏฝน 
    เพียงเด็ดดวงดอกไม้มายล 
    ฟ้าเบื้องบนกลับกระเทือนถึงดวงดาว.........

    ก่อนจะทำลายธรรมชาติเพียงสักนิด ลองคิดอย่างระมัดระวังมากขึ้น เพื่อไม่ให้ดอกไม้ที่คุณเด็ดวันนี้สะเทือนไปถึงดวงดาว